LED Lighting ในตู้แช่สินค้า ถูกเริ่มใช้กันมาหลายปีแล้ว และแพร่หลายมากขึ้นจนอาจจะไม่มีหลอดไฟชนิดเก่าในตลาดอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจุดแข็งของไฟ LED อย่างที่รู้กันทั่วๆไปก็คือ ความสว่างที่เท่ากันหรือมากกว่าหลอดแบบเดิม ในขณะที่ใช้กำลังไฟน้อยกว่า ความปลอดภัยที่สูงกว่าโดยเฉพาะหลอดไฟที่เป็นไฟแบบ DC
พารามิเตอร์ของไฟ LED ในตู้แช่
- Brightness : ความสว่าง
เราสามารถดูค่าความสว่างของไฟ LED ได้จากบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีระบุอยู่ข้างกล่อง หรือในเอกสารอธิบายคุณสมบัติสินค้า (Technical data sheet) ค่า lumen มาก ค่าความสว่างก็จะมากขึ้นเช่นกัน
ส่วนจำนวนวัตต์ (Watt) คือ กำลังในการกินไฟฟ้าน เช่น หลอดไส้ขนาด 60 วัตต์ จะให้แสงสว่าง 600 ลูเมน แต่เมื่อเทียบกับไฟ LED ที่ได้มาตรฐาน ที่ให้ความสว่างใกล้เคียงกัน แต่จะกินไฟเพียง 7 วัตต์เท่านั้น ดังนั้นหลอดไฟจะประหยัดไฟ ต้องดูที่ กำลังวัตต์, ค่าความสว่าง, ค่าประสิทธิผล,อายุการใช้งานของหลอดไฟด้วย
- Wavelength : ความยาวคลื่น
ไฟ LED ที่มีความยาวคลื่นเท่ากันจะมีสี ดังนั้นขนาดของความยาวคลื่นที่ LED เปล่งแสงออกมา ควรจะต้องดูเรื่องของการผลิตที่มีคุณภาพ เพราะจะได้แสงที่ได้สม่ำเสมอและจะต้องเป็นสีเดียวกันตลอดทั้งเส้น
- Color temperature : อุณหภูมิสี
อุณหภูมิสีคือหน่วยวัด เป็นหน่วย Kelvin (K) สีของแสงเมื่อส่องสว่าง LED มีอุณหภูมิสีสามแบบ: โทนแสงสีเหลือง ,โทนแสงสีขาว ,โทนสีขาวนวล สีมีอิทธิพลในการมองเห็นและอารมณ์ความรู้สึก ถ้าในตู้แช่ การเลือกอุณหภูมิสีที่เหมาะสม จะเป็นการเพิ่มความสนใจและดึงดูดลูกค้า เมือมองเห็นสินค้าทีวางอยู่ในตู้แช่
อิทธิพลของสี ในแต่ละแบบ
สีเหลืองนวล (Warm white) ให้แสงที่สร้างบรรยากาศและเป็นกันเองเหมาะขึ้น อุณหภูมิสีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปและให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่าดึงดูด
สีขาวสว่าง (Daylight) ให้แสงที่สะอาดและโทนแสงธรรมชาติ อุณหภูมิสีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการให้แสงสว่างแสดงความชัดเจน หรือ เน้นสินค้าเฉพาะ รวมไปถึงการให้แสงสว่างทั่วไปและให้บรรยากาศที่มีชีวิตชีวา
แสงสีขาว (Cool white) ช่วยให้แสงสีขาวสว่างขึ้นเหมาะสำหรับพื้นที่เชิงพาณิชย์ หลอดไฟ LED ที่ตกอยู่ในช่วงนี้ปล่อยสีเกือบน้ำเงิน แสงชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการจัดแสงงานในอาคารและพื้นที่ในร้านค้าปลีก
credit : https://www.ledrise.eu/blog/color-temperature-explained-lr/
- Color Rendering Index: CRI : ดัชนีการแสดงผลสี
มาตรฐานอุตสาหกรรมปัจจุบันที่ใช้วัดความแม่นยำของแสงไฟ LED ซึ่งแหล่งกำเนิดแสงทำให้สีของวัตถุสว่างขึ้น 100 คือค่าสูงสุดของ CRI หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งค่า CRI ของแหล่งกำเนิดแสง จะเป็นตัววัดปริมาณความสามารถของแหล่งกำเนิดแสง เพื่อสร้างสีของวัตถุต่างๆเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดแสงธรรมชาติ ไฟ LED ในท้องตลาดส่วนใหญ่มีค่า CRI ที่ไม่สูงกว่า 90 ดังนั้นค่า CRI จึงเป็นความท้าทายกับผู้ผลิตไฟ LED ที่จะทำให้แสงของไฟ LED ที่ช่วยเพิ่มความอิ่มตัวของสี เพื่อให้สินค้ามีสีที่เสมือนสีจากแหล่งธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งแน่นอนราคาของไฟ LED จะแปรผันตามค่าความสามารถของเลข CRI แต่ถึงแม้ราคาไฟ LED จะสูงขึ้นก็ยังเป็นที่ต้องการของผู้คนบางกลุ่มที่มีความคาดหวังกับแสงไฟ LED จะเบี่ยงเบนสีของสินค้าเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดแสงธรรมชาติมากที่สุด
- Lamp Efficiency : ประสิทธิภาพ
ตัวแปรในการวัดค่าประสิทธิภาพของไฟ LED เป็นลูเมนต่อวัตต์ (lm/W) นี่เป็นการระบุว่าหลอดไฟหรือระบบไฟส่องสว่างเพียงใดต่อหน่วยของการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยหลอดที่มีค่าประสิทธิศักย์มาก จะหมายถึงหลอดที่ให้แสงมากในขณะที่กินไฟน้อย ดังนั้นหลอดที่มีค่าประสิทธิศักย์มากก็จะประหยัดไฟได้มากกว่า เมื่อคิดที่ความสว่างเท่าๆกันกับหลอดที่มีค่าประสิทธิศักย์ต่ำกว่าหรืออาจพิจารณาได้จากค่า “ดัชนีประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency Index)” หรือ EEI ซึ่งหลอดที่มีค่า EEI ต่ำหมายความว่าเป็นหลอดที่มีประสิทธิภาพสูง
- Life time warranty : การรับประกันอายุการใช้งาน
การรับประกันของไฟ LED อาจยาวนานถึง 15,000 – 50,000 ชม. (2 – 5 ปี) ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย
- Safety design and Certificate : การออกแบบและการรับรองด้านความปลอดภัย
การออกแบบของไฟ LED จะมีการตรวจรับรองจากสถาบันทดสอบที่เกี่ยวข้องในแต่ละหัวข้อนั้นๆ เช่น ความปลอดภัยทางไฟฟ้า, ความปลอดภัยจากอัคคีภัย, ความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมที่ใช้งานได้, ความปลอดภัยทางกล, ความปลอดภัยด้านสุขภาพ การป้องกันน้ำ ความชื้น ฝุ่น นอกจากจะดูบนฉลากผลิตภัณฑ์หรือเอกสารอธิบายคุณสมบัติสินค้า (Technical data sheet) แล้วควรขอตรวจสอบใบรับรองจากผู้ผลิตว่าได้รับการทดสอบและได้ใบรับรองจากสถาบันต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น
IEC EN 60529 สำหรับการป้องกันการเข้าถึง ของฝุ่นและน้ำ
ETL Listed Mark สำหรับ สหรัฐอเมริกา และ แคนาดา
CE Mark สำหรับยุโรป
CCC Mark สำหรับจีน
เนื่องจากตู้แช่สินค้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะต้องมีการใช้งานอยู่ตลอด และจะมีการสัมผัสอยู่ตลอดเวลาเวลาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งาน พนักงานของร้านค้า รวมถึงผู้บริโภคสินค้า ดังนั้นการออกแบบที่คำนึงถึงด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ถือว่าเป็นเรื่อง่สำคัญที่สุดที่ผู้ซื้อหรือผู้ผลิตจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งาน